วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2550

บทสนทนาว่าด้วย กวี ของสาวในกระท่อมนักฝัน น้ำ จันทร์ ดาว

***************
มทิรา :
กวี คือทุนของหัวใจ ทุนชีวิตและทุนสังคมทุนทางปัญญาของสังคม แต่ ไม่มีที่ยืนในพื้นที่ทางทุนวัตถุ
กวิสรา :
กาพย์ฉันท์โคลงกลอน เป็นวรรณศิลป์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งถ้าไม่อนุรักษ์เผยแพร่สักวันมันก็หายไป หมดไป
มทิรา :
ไม่หมดหรอก ตราบมนุษย์ยังมีชีวิต
กวิสรา :
มันน้อยเหลือเกินถ้าทำอะไรได้ก็ควรให้มันได้ผลิบานอาจจะมีใครมาต่อก้าวคนรุ่นหลังก้าวต่อส่งต่อกันไป
เด็กรุ่นใหม่ควรได้อ่านงานดีๆงานไม่ดี คนก็ไม่อ่านและงานดีก็แทบไม่มีคนอ่าน
มทิรา :
อนิจจัง
กวิสรา :
ฮ่าๆ กรรมคุยไปคุยมาปลงสาธุ
--------------------------------------
มทิรา :
ตอนนี้อินๆ อยู่ว่าจะเขียนถึง กวีสาว ตอนอ่านงานของเจ้าแล้วมาเจอ กวิสรา
มทิรา :
จะเขียนถึงกวีสาวกำลังค้นหา คิดๆ นึกๆ ถึง "ความเป็นของกวีสาว" เลยมองถึง ความเป็นกวี ใน 2 สาวนี้ไงมองว่า อะไร ทำให้กวีปรากฎจาก 2 คนนี้
จันทร์วารี :
ไม่น่าเชื่อเหรอ
มทิรา :
อ่านมาก ครุ่นมาก ซึ้งชีวิต คิดรู้สึกดี ฯลฯ กำลังมองหา ทึ่งง่ะ อ่านท่วงทำนองถ้อยคำของเจ้าแล้วเห็นประกายกวีค่อยๆ แจ่มจ้า
ของกวิสรา นี่แจ่ม กำลังด่ำลึกในความมีเป็นธาตุกวีเติบกล้าแล้วรอวันยืนต้นอย่างสงบงาม
ใจกวีมีได้ยากน่ะแต่เราก็เป็นกวีกันได้บอกตัวเองไปเถอะว่า กู คือกวี
กวี ไม่ได้เป็นแค่เพียงถ้อยคำแต่เป็นมาจากภายในชีวิตถ้อยคำสวยหรู ไม่ใช่กวีน้ำเนื้อกวี เห็นจากถ้อยคำที่สัมผัสได้ถึงวิถีคิด
จันทร์วารี :
มีอะไรแนะนำในการเขียนอีกมะ
มทิรา :
งุงุ ว่าไปแระนิ
-------------



มทิรา

ไม่มีความคิดเห็น:

กถาเพื่อนคำ

ต้อนรับสู่ถ้อยคำเขียนข้าว
หมายเหตุแห่งเรื่องราว ณ ยุคสมัย
บานแผนกแยกรับ สดับนัย
ด้วยหทัยกล่าวธรรม สมันตา


Copyright©2007 kurukarn.blogspot.com
by editorship@hotmail.com
Powered By Blogger